การแข่งขันในศึก เอฟเอ คัพ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล เกมนี้เจ้าบ้านลงเล่นในระบบ 4-2-3-1 และฝั่งผู้มาเยือน มาสู้ในระบบ 4-3-3
เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 10 เจ้าบ้านได้เปิดฉากทักทายก่อน
จากจังหวะของ เมสัน กรีนวู้ด พาบอลขึ้นจากทางฝั่งขวาเลี้ยงตัดเข้าไปในเขตโทษก่อนจะกดมุมแคบ แต่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ยังใช้ขาเซฟไว้ได้
นาทีที่ 11 “หงส์แดง” ได้เสียวบ้าง
จากจังหวะของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษหน้าปากประตู หวังให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่เข้าไม่ถึงบอลโดนแนวรับผีแดงสกัดออกมาได้หวุดหวิด
นาทีที่ 18 แฟน “หงส์แดง” ได้เฮก่อน
จากจังหวะที่ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม พาบอลลุยขึ้นมาก่อนจ่ายให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ จ่ายทะลุช่องให้กับให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าอย่างสวยงามก่อนจะชิพบอลข้าม ดีน เฮนเดอร์สัน เข้าไปอย่างเหนือชั้น ลิเวอร์พูล ออกนำ 0-1
นาทีที่ 25 “ผีแดง” ไล่ตีเสมอทันควัน
จากจังหวะที่ ปอล ป็อกบา แย่งบอลจากหน้ากรอบเขตโทษของตัวเอง ก่อนจ่ายมาให้กับ ฟาน เดอ เบ็ค แทงออกซ้ายให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด เลือกวางบอลยาวจากให้ เมสัน กรีนวู้ด แม่นยังกับจับวางหลุดเข้าไปในกรอบก่อนยิงบอลเรียดผ่าน อลีสซง เบ็คเกอร์ เข้าไปอย่างเฉียบคม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตีเสมอได้ 1-1
นาทีที่ 35 แมนฯยูไนเต็ด ได้ลุ้นอีกหน
จากจังหวะลูกเตะมุมของ ลุค ชอว์ เปิดบอลโค้งเข้ามาให้ ปอล ป็อกบา ได้ขึ้นโหม่ง แต่บอลหลุดกรอบออกไปแบบได้ลุ้น
นาทีที่ 40 ลิเวอร์พูล ได้ตอบโต้บ้าง
จากจังหวะแนวรับแมนยูสกัดบอลออกมาเข้าทางของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า โหม่งชงต่อให้ เจมส์ มิลเนอร์ วิ่งมากดด้วยซ้ายนอกกรอบบอลพุ่งเหินออกไปแบบน่าผิดหวัง
นาทีที่ 43 เจ้าบ้านเกือบได้ประตูออกนำ
จากจังหวะของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็คแทงทะลุช่องให้กับ ลุค ชอว์ หลุดเข้าไปถึงสุดเส้นหลังก่อนจะยิงยัดแต่ถูก อลีสซง เบ็คเกอร์ ปัดออกมาได้แต่บอลยังมาเข้าทาง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ วิ่งมากดเต็มข้อ แต่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ยังบังเอาไว้ได้
จบครึ่งแรก ทั้งสองทีมยังเสมอกันไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 ลิเวอร์พูล 1 ยังเล่นกันได้อย่างสูสีผลักกันรุกผลักกันรับอยู่ตลอด
นาทีที่ 48 “ผีแดง” มาได้พลิกแซงขึ้นนำได้สำเร็จ
จากจังหวะแย่งบอลได้ตรงกลางสนามก่อนบอลจะมาถึง เมสัน กรีนวู้ด วางบอลยาวทะลุช่องไปถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปยิงส่งบอลซุกก้นตาข่ายไม่เหลือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลิกนำ 2-1
นาทีที่ 58 ลิเวอร์พูลเดินเครื่องหวังทวงประตู
จากจังหวะของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า เปิดบอลเข้าไปให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้ขึ้นโหม่งชงให้ เจมส์ มิลเนอร์ สอดเข้าไปยิงเหินคานไปแบบได้ลุ้น
นาทีที่ 59 ลิเวอร์พูลเอาจนได้
จากจังหวะ เจมส์ มิลเนอร์ ตัดบอลได้ก่อนจ่ายให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ จ่ายบอลเข้ากลาง เจมส์ มิลเนอร์ ข้ามหลอกบอลเลยไปถึง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ วิ่งมาจ่อๆเข้าประตูไปไม่เหลือ ลิเวอร์พูล ตีเสมอสำเร็จ 2-2
นาทีที่ 61 “หงส์แดง” เกือบชิงขึ้นนำได้
จากจังหวะของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จ่ายบอลให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ วิ่งมากดเต็มข้อ แต่ ดีน เฮนเดอร์สัน ยังเซฟเอาไว้ได้
นาทีที่ 67 ดีน เฮนเดอร์สัน ยังโชว์เหนียว
จากจังหวะของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เจาะทะลุช่องให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้หลุดเข้าไปในกรอบก่อนยิงเสาแรก แต่ ดีน เฮนเดอร์สัน ยังปิดมุมได้ดีป้องกันประตูไว้ได้อีกหน
นาทีที่ 78 บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดลูกนี้หาย
จากจังหวะฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษไม่ถึง 18 หลา เป็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส รับหน้าที่ยิงก่อนปั่นบอลข้ามหัว ติอาโก้ อัลกันตาร่า บอลพุ่งเสียบโค่งเสาเข้าไปไม่เหลือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลิกขึ้นนำอีกครั้ง 3-2
นาทีที่ 89 เจ้าบ้านเกือบได้เพิ่ม
จากจังหวะของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เปิดบอลเข้ามาให้ เอดินสัน คาวานี่ วิ่งสอดมาขึ้นโขกบอลลงพื้นก่อนบอลจะพุ่งไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย
จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปได้ 3-2 เปอร์เซ็นต์การครองบอลของทั้งสองทีมไม่ต่างกันมากสู้กันได้อย่างสนุกแต่เป็นทาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เฉียบคมทำให้สามารถเอาชนะไปได้ในที่สุดและทะยานเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
เกมนัดถัดไปของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 28 มกราคม 2021 และทางด้าน ลิเวอร์พูล พบกับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ในวันที่ 29 มกราคม 2021
ติดตามบทความ วิเคราะห์บอล พรีวิวหลังเกม ข่าวสารฟุตบอล และ ไฮไลท์ฟุตบอล ได้อีกเพียบที่นี่