เกมเดือด เชลซี ถอนแค้นอัด เลสเตอร์ ขึ้นที่ 3 เกมพรีเมียร์ลีก

“สิงห์บลูส์” ล้างแค้นเร่งเครื่องบดเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปได้แบบสนุก 2-1 เก็บสามแต้มแซงทัพจิ้งจอกขึ้นที่ 3 ทันที ศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อคืน

การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เกมบิ๊กแมตช์ เมื่อวันอังคารที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นรีแมตช์นัดชิง เอฟเอ คัพ ระหว่าง เชลซี อันดับ 4 เปิดสแตมฟอร์ด บริดจ์รับการมาเยือนของ เลสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 3 ที่เพิ่งเบียด “สิงห์บลูส์”คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาเป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ 137 ปี สโมสร เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

ออกสตาร์ทเกมครึ่งแรกมาแค่ 4 นาทีแรก เจ้าบ้าน เชลซี เกือบได้ลุ้นขึ้นนำ ติโม แวร์เนอร์ ควบบอลพาขึ้นมากลางประตูก่อนไหลออกซ้ายให้ เบน ชิลเวลล์ เติมเข้ามาซัดด้วยซ้ายออกหลังไปแบบได้เสียว นาทีที่ 9 เอ็นโกโล่ ก็องเต้ หลุดเข้าไปซัดมุมแคบเต็มแรงแต่ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ยังปัดออกไป บอลมาถึง คริสเตียน พูลิซิช ชิ่งกับก็องเต้ก่อนจะไหลคืนมาให้ พูลิซิช ซัดไปแฉลบ ยูริ ตีเลมันส์ ออกหลังหวุดหวิด ถัดมานาทีที่ 22 แฟนสิงห์บลูส์ในเดอะ บริดจ์ต้องเฮกันเก้อหลัง เมสัน เมาน์ท แทงบอลทะลุให้ ติโม แวร์เนอร์ ซัดเบียดเสาแรกเข้าไปแล้ว แต่โดนผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน ชวดได้ประตูขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย นาทีที่ 26 โอกาสลุ้นครั้งแรกของ “เดอะ ฟ็อกซ์” จากลูกคอนเนอร์ทางฝั่งซ้าย ยูริ ตีเลมันส์ เปิดมาให้ เจมี่ วาร์ดี้ แต่บอลมันย้อนหลังไปทำให้ต้องดีดด้วยข้างเท้าเหินคานออกไป ไม่ถึงสองนาทีถัดมา เมสัน เมาน์ท ตะลุยแหวกแนวรับจิ้งจอกเข้ามาก่อนบอลไปติด โซยุนชู แต่ยังไปเข้าทาง เมาน์ท เก็บตกในกรอบซัดไปติดปลายมือ ชไมเคิ่ล ออกหลังไป นาทีที่ 31 โธมัส ทูเคิ่ล ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกหลัง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เล่นต่อไม่ไหวมีอาการเจ็บต้องส่ง มาเตโอ โควาซิช ลงมาเล่นแทน จากนั้นนาทีที่ 35 ติโม แวร์เนอร์ โขกบอลจ่อๆ ผ่านเส้นประตูไปแล้วแม้จะโดน คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ปัดออกมา โดยทีแรก ไมค์ ดีน  ผู้ตัดสินให้เจ้าบ้านได้ประตูไปก่อนหลังมีสัญญาณโกลไลน์ว่าบอลข้ามเส้นไปแล้ว ทว่าต่อมา วีเออาร์ เช็กย้อนหลังว่าลูกนี้บอลไปโดนแขน แวร์เนอร์ ก่อนทำให้เจ้าบ้านโดนริบสกอร์ ชวดได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง เชลซี ยังโหมบุกเข้าใส่ทัพจิ้งจอกเป็นพายุ นาทีที่ 43 เกือบได้ลุ้นขึ้นนำอีกหลัง เมสัน เมาน์ท เลี้ยงแหวกเข้าไปในกรอบสุดเส้นหลังก่อนปาดมาเสาแรกให้ คริสเตียน พูลิซิช ซัดไปติด ชไมเคิ่ล ก่อนบอลมาโดนพูลิซิชออกหลังไป จบครึ่งแรก เชลซี ที่โอกาสยิงถึง 11 ครั้งยังทำอะไร เลสเตอร์ ไม่ได้ เสมอแบบไร้สกอร์ 0-0

กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลังนาทีที่ 47 เชลซี มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ เบน ชิลเวลล์ เปิดเตะมุมมาเสาแรก เจมี่ วาร์ดี้ โขกสกัดไม่ดีกลายเป็นเช็ดบอลไปในกรอบ 6 หลาโดนต้นขา อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เข้าประตูไป ต่อมานาทีที่ 64 สิงห์บลูส์ ยังครองเกมได้เหนือกว่า คราวนี้เกือบได้ลุ้นเม็ดสองหลัง ติโม แวร์เนอร์ ควบบอลเข้าไปในกรอบแต่จังหวะยิงโดน ติโมธี คาสตาญ เบียดทำให้ยิงไปเข้ามือคาสเปอร์ ชไมเคิ่ล กระนั้น นาทีที่ 66 สิงห์บลู หนีห่างเป็น 2-0 จากบอลของ ติโม แวร์เนอร์ โดน เวสลี่ย์ โฟฟาน่าฟาวล์เตะขาจากข้างหลัง แม้หัวหอกทีมชาติเยอรมันจะมาล้มลงนอกกรอบ แต่วีเออาร์เช็กแล้วว่าเกิดเหตุในเขตโทษทำให้ ไมค์ ดีน เป่าให้จุดโทษแก่สิงห์บลูส์ ก่อนที่ จอร์จินโญ่ จะทำหน้าที่ยิงจุดโทษเข้าไปไม่พลาด ถัดมานาทีที่ 76 เลสเตอร์ ได้ลุ้นเหมือนกัน หลัง อิเฮียนาโช่ ตัวสำรองที่เพิ่งลงมาซัดกลางประตูถากเสาออกไปแบบได้เสียว กระนั้นไม่ถึงนาทีถัดมา “จิ้งจอกสยาม” ตีไข่แตกกลับคืนสู่เกมไล่ เชลซี มาเป็น 1-2 จากจังหวะที่ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ตัดบอลได้ก่อนจ่ายเข้ากลางให้ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่ยืนโล่งซัดผ่านมือ เอดูอาร์ เมนดี้ เข้าไป เป็นประตูที่ 12 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ นาทีสุดท้าย นาทีที่ 90 เลสเตอร์ เกือบทวงประตูตีเสมอได้ หลัง ริคาร์โด้ เปเรยร่า ปาดบอลมากลางประตูให้ อาโยเซ่ เปเรซ วิ่งมาซัดเหินคานไปแบบได้ลุ้น ช่วงทดเจ็บ นาที 90+2 เกมเดือดหลัง ริคาร์โด้ เปเรยร่า ไปเข้าหนักใส่ เบน ชิลเวลล์ ก่อนทั้งสองทีมจะมีปากเสียงวิ่งไปกระทบกระทั่งกันจนทีมงานสต๊าฟของทั้งสองทีมต้องวิ่งมาห้าม ก่อนไม่มีอะไรบานปลาย ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม เชลซี เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-1 คว้าสามแต้มล้ำค่าพร้อมแซง “จิ้งจอกสยาม” ขึ้นรั้งอันดับ 3 แทนมี 67 แต้มส่วน เลสเตอร์ มี 66 คะแนน ซึ่งหากวันพุธนี้ “หงส์แดง” บุกไปเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ได้จะมี 66 แต้มเท่ากันทันที แถมลิเวอร์พูลลูกได้เสียจะดีกว่าจะแซงขึ้นรั้งอันดับ 4 แทนทันที 

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

เชลซี : เอดูอาร์ เมนดี้ (GK), รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่, เบน ชิลเวลล์, เมสัน เม้าน์ท, คริสเตียน พูลิซิช, ติโม แวร์เนอร์

เลสเตอร์ ซิตี้ : คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล (GK), ติโมธี คาสตาญ, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, ซากลาร์ โซยุนชู, มาร์ค อัลไบรท์ตัน, ยูริ ตีเลมันส์, วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้, ลุค โธมัส, เจมส์ แมดดิสัน, อาโยเซ่ เปเรซ, เจมี่ วาร์ดี้