ซาลาห์เบิ้ล,ไล่กรีซมันน์ ลิเวอร์พูล บุกทุบตราหมี 10 คนสุดมันส์เฮ 3 นัดติด

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล นำโด่งเป็นจ่าฝูงกลุ่ม บี ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยสถิติคว้าชัยรวดทั้ง 3 นัด หลังบุกไปเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-2 เมื่อคืนวันอังคารที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยที่ได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำคนเดียวสองตุง รวมถึงประตูชัย ขณะที่ อ็องตวน กรีซมันน์ เหมาทำสองลูกให้ “ตราหมี” ก่อนโดนไล่ออกช่วงต้นครึ่งหลัง

การแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คืนวันอังคารที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทีมเจ้าถิ่น แอต. มาดริด ของ กุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ซึ่งไม่ได้ลงเล่นเกมลีกช่วงสุดสัปดาห์ให้ หลุยส์ ซัวเรซ เป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น โดยจัด อ็องตวน กรีซมันน์ กับ ชูเอา เฟลิกซ์ เป็นคู่กองหน้า พบกับ ทีมเยือน ลิเวอร์พูล ที่มาเต็มสูบในแนวรุก พร้อมได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ กลับมาเฝ้าเสา แต่ ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับเลือดแซมบ้า มีชื่อนั่งสำรอง  

เปิดฉากเกมครึ่งแรกนาทีที่ 7 ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน 1-0 จากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เลี้ยงบอลตัดเข้าใน ก่อนกดด้วยซ้ายข้างถนัด บอลฝ่ากลาง เจมส์ มิลเนอร์ กับ เชฟเฟร่ย์ กงด็อกเบีย แฉลบเปลี่ยนทางเข้าไป ช่วง 10 นาทีแรก ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่าชัดเจน และนาทีที่ 12 ลิเวอร์พูลมาได้ประตูเพิ่ม 2-0 จากจังหวะที่ เฟลิเป้ กองหลังเจ้าถิ่น สกัดบอลออกมาไม่ดี เข้าทาง นาบี เกอิต้า ซัดด้วยขวาบอลติดไซด์ก้อยเข้าไปอย่างสุดสวย ถัดมานาทีที่ 20 แอต. มาดริด ได้ประตูตีไข่แตก 1-2 จากการยิงอัดเข้ากลางของ โกเก้ และเป็น อ็องตวน กรีซมันน์ ที่เท้าไวสะกิดบอลเปลี่ยนทางเข้าไป นาทีที่ 27 แอต. มาดริด เกือบได้ประตูตีเสมอ จากการหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงของ กรีซมันน์ แต่ทาง อลีสซง เบ็คเกอร์ นายทวาร “หงส์แดง” ออกมาป้องกันเอาไว้ได้ เกมสุดมันส์ นาทีที่ 34 “ตราหมี” ตีเสมอเป็น 2-2 ได้สำเร็จ จาก ชูเอา เฟลิกซ์ โชว์ลีลาล่อหลอกนักเตะทีมเยือน ก่อนจ่ายบอลให้ กรีซมันน์ แตะหนึ่งจังหวะหาที่ว่าง ก่อนยิงด้วยซ้ายเข้าไปอย่างสุดคม นาทีที่ 40 เจ้าถิ่นเฉียดได้ประตูพลิกนำจากการหลุดทางฝั่งซ้ายของ เฟลิกซ์ ซึ่งเจ้าตัวได้กดเรียดด้วยซ้าย แต่ อลีสซง ล้มตัวรับเอาไว้ได้ เกมเริ่มเข้าทางเจ้าถิ่นชัดเจน นาทีที่ 43 “ตราหมี” ได้ลุ้นอีกครั้งจากจังหวะที่ เลอมาร์ ได้ยิงในกรอบเขตโทษ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ อลีสซง ป้องกันไว้ได้ จบครึ่งแรก แอต. มาดริด เสมอ ลิเวอร์พูล 2-2

กลับมาต่อเกมครึ่งหลังนาทีที่ 48 ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง จากการโขกของ ซาดิโอ มาเน่ ทว่า ยาน โอบลัค นายทวารเจ้าถิ่น บินปัดเอาไว้ได้ นาทีต่อมา แอต. มาดริด มีโอกาสบ้าง จากการหลุดเข้าไปยิงของ ยานนิค การ์ราสโก้ แต่ อลีสซง ป้องกันไว้ได้อีกแล้ว นาทีที่ 52 “ตราหมี” เหลือผู้เล่น 10 คน เนื่องจาก กรีซมันน์ ที่กำลังลุ้นแฮตทริก ได้รับใบแดงโดยตรง หลังยกเท้าสูงใส่หน้า โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ นาทีที่ 56 ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นอีกครั้งจากจังหวะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้โขก แต่บอลเบาไป และ โอบลัค รับเอาไว้ได้สบาย ซึ่งอีก 2 นาทีต่อมา พวกเขาก็มีลุ้นอีกจากการยิงของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ซึ่งเจ้าตัวซัดข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย นาทีที่ 65 อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ตัวสำรอง “หงส์แดง” ลุยเข้าไปกดเต็มๆ ด้วยเท้าขวา แต่บอลเข้าซอง โอบลัค นาทีที่ 76 ลิเวอร์พูล ได้ลูกจุดโทษ จากจังหวะที่ มาริโอ เอร์โมโซ่ ทำฟาวล์ใส่ ดิโอโก้ โชต้า และก็เป็น ซาลาห์ ยิงเข้าไปอย่างเฉียบขาด ส่ง “หงส์แดง” ขึ้นนำอีกครั้ง 3-2 และเป็นประตูที่สองในเกมนี้ของ “บังโม” ช่วงนาทีที่ 81 ผู้ตัดสิน ดาเนี่ยล ซีแบร์ต เป่านกหวีดให้ แอต. มาดริด ได้ลูกจุดโทษบ้าง หลังจากที่ โชต้า ดูเหมือนไปกระแทกใส่ โฮเซ่ คิเมเนซ แต่หลังจากที่ไปเช็ค VAR ด้วยตัวเอง ซีแบร์ต กลับคำตัดสิน ไม่ให้ลูกจุดโทษแก่เจ้าถิ่น นาทีที่ 90+3 แอต. มาดริด ได้ลุ้นประตูจากจังหวะที่ตัวสำรอง อังเคล กอร์เรอา ได้กดเน้นๆ ตรงหน้ากรอบเขตโทษ แต่บอลข้ามคานไปอย่างน่าผิดหวัง ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองฝ่ายทำอะไรกันไม่ได้ จบเกม ลิเวอร์พูล บุกเชือด แอต. มาดริด สุดมันส์ 3-2 นำโด่งเป็นจ่าฝูงกลุ่ม บี ด้วยการมี 9 คะแนนเต็ม จากการลงแข่ง 3 นัด ส่วน “ตราหมี” ยังคงอยู่ที่สอง มี 4 คะแนน นัดหน้าเจอกันอีกครั้งที่ แอนฟิลด์ วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนามตัวจริง

แอตเลติโก มาดริด : ยาน โอบลัค (GK), เฟลิเป้, เชฟเฟร่ย์ กงด็อกเบีย (โฮเซ่ คิเมเนซ น. 46), มาริโอ เอร์โมโซ่ (มาร์กอส ยอเรนเต้ น. 80), คีแรน ทริปเปียร์, โตมาส์ เลอมาร์ (หลุยส์ ซัวเรซ น. 80), โกเก้, โรดริโก้ เด ปอล (เรนาน โรดี้ น. 80), ยานนิค การ์ราสโก้, ชูเอา เฟลิกซ์ (อังเคล กอร์เรอา น. 80), อ็องตวน กรีซมันน์  

ลิเวอร์พูล : อลีสซง เบ็คเกอร์ (GK), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (โจ โกเมซ น. 85), โฌแอล มาติป, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (กัปตันทีม), นาบี เกอิต้า (ฟาบินโญ่ น. 46), เจมส์ มิลเนอร์ (อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน น. 62), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (เนโก วิลเลี่ยมส์ น. 90+2), ซาดิโอ มาเน่ (ดิโอโก้ โชต้า น. 62), โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่