ทัพ “กระทิงดุ” โชว์ฟอร์มได้อย่างสมบูรณ์แบบในรอบสุดท้าย เมื่อพวกเขาสร้างสถิติเก็บชัยชนะได้หมด 7 แมตช์ แถมยังเสียแค่ 4 ประตูพร้อมกับตะบันไปถึง 15 ประตู โดยถือเป็นผลงานที่สุดเพอร์เฟกต์ภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือ หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้
ขณะที่ อังกฤษ ต้องบอกว่ากระท่อนกระแท่นตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ ในขณะที่รอบน็อกเอาต์ก็เจียนอยู่เจียนไปทั้งในเกมกับ สโลวาเกีย (ชนะช่วงต่อเวลาพิเศษ) และ สวิตเซอร์แลนด์ (ชนะจุดโทษ) ก่อนจะโชว์ฟอร์มโดดเด่นชนะ เนเธอร์แลนด์ ในรอบตัดเชือก
สำหรับทัวร์นาเมนต์บนแผ่นดินเยอรมนี เป็นการแจ้งเกิดแบบเต็มตัวของ ลามีน ยามาล ปีกดาวรุ่งชาวสแปนิช ที่โชว์ฟอร์มได้ตื่นตาตื่นใจอย่างมากพร้อมกับสร้างผลงานยิง 1 ประตูกับ 4 แอสซิสต์ซึ่งมากที่สุดในศึกยูโรครั้งนี้
นอกจากนี้ ดาวรุ่งจาก “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ยังสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด (17 ปีกับ 1 วัน) ที่ลงเล่นตัวจริงในรอบชิงชนะเลิศทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ แซงหน้า เปเล่ ตำนานกองหน้าทีมชาติบราซิล ที่ลงเกมนัดชิงฟุตบอลโลก 1958 ในวัย 17 ปีกับ 249 วัน
ผลงานระดับมาสเตอร์พีซสำหรับเด็กน้อยที่อายุแค่ 17 ปี จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เขาจะได้รับเลือกให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ จากผลงานสร้างสรรค์เกมรุกให้กับ สเปน
ในส่วนของนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ตกเป็นของ โรดรี้ กองกลางคนสำคัญที่ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระ และมีส่วนอย่างมากในการช่วยทำให้แผงมิดฟิลด์ของทัพ “กระทิงดุ” แข็งแกร่ง
ขณะที่ดาวซัลโวประจำรายการมีถึง 6 คน เนื่องจาก ยูฟ่า ปรับเปลี่ยนกฎใหม่หากทำประตูได้เท่ากันจะไม่มีการนับแอสซิสต์ให้ครองรางวัลร่วมกันไปเลย โดยงานนี้ก็มี
แฮร์รี่ เคน (อังกฤษ), ดานี่ โอลโม่ (สเปน),โกดี้ คักโป (เนเธอร์แลนด์), จามาล มูเซียล่า (เยอรมนี), จอร์จส์ มิเคาตัดเช่ (จอร์เจีย) และ อีวาน ชรานซ์ (สโลวาเกีย)
อัพเดทข่าวสารฟุตบอล แวดวงลูกหนัง สดใหม่ทุกวันได้ทาง “@844qmzrf”